06-13
ตลาดการเงินผันผวนสูง เงินบาทแข็งค่าสวนทางเศรษฐกิจ จ่อลดดอกเบี้ยปีนี้
2025-06-11
IDOPRESS
ตลาดการเงินผันผวนสูง จากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า สวนทางเศรษฐกิจไทยอ่อนแอ คาดดอกเบี้ยไทยแตะ 1.25% สิ้นปีนี้
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า กลุ่มงานตลาดการเงิน หรือ SCB Financial Markets ทำหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยบริหารความเสี่ยงให้แก่ลูกค้าธุรกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นในธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน หรือ FX โดยตลาดการเงินมีความท้าทายสูงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าที่กดดันภาคธุรกิจของไทย
รวมถึงปัจจัยล่าสุด คือ ความไม่แน่นอนของมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า (Tariffs) จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีผลกระทบการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ จึงเห็นภาพของค่าเงินบาทที่ผันผวนสูง โดยบางช่วงเงินบาทเปลี่ยนแปลงถึง 30-40 สตางค์ในช่วงข้ามคืน ด้วยบริบททางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
SCB Financial Markets จึงปรับบทบาทให้เข้มข้นขึ้นสู่การเป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารความเสี่ยง การลงทุน และการเติบโตในตลาดโลก เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น สร้างโอกาสการลงทุนและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทในปีนี้ยังคงผันผวนสูง โดยในปีนี้เงินบาทเคยอ่อนค่าไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าแตะระดับต่ำสุด 32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเปลี่ยนแปลงถึง 7.4% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน มาจากทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเงินบาทแข็งค่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะยังอ่อนแอและมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงในปีนี้ เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก
ทั้งนี้ เงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจากเทรนด์การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะดำเนินไปต่อเนื่องอย่างน้อยในปีนี้ ข้อตกลงการค้าของสหรัฐ อาจพ่วงเงื่อนไขทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ และสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงน้อยลง รวมทั้งมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ทำให้เงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ จึงทำให้เงินบาทที่มีความสัมพันธ์กับเงินหยวนค่อนข้างสูงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าน้อยลงตามไปด้วย และราคาทองที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง จะเป็นแรงหนุนต่อการแข็งค่าของเงินบาทต่อไปได้
สำหรับประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงนี้ คือ คำพิพากษาของศาลการค้าสหรัฐ เกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ได้ดำเนินไป โดยศาลพิจารณาว่าการดำเนินมาตรการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทางรัฐบาลสหรัฐ ได้ยื่นอุทธรณ์ไป ทำให้มาตรการยังมีผลบังคับใช้อยู่ในช่วงสั้น ๆ ซึ่งประเด็นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการอ่อนค่าของเงินบาทได้ เพราะรัฐบาลสหรัฐ อาจจำเป็นต้องใช้กฎหมายมาตราอื่นเพื่อกลับมาขึ้นภาษีนำเข้า เช่น มาตรา 122 ที่มีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะไม่สามารถขึ้นภาษีนำเข้าสูงกว่า 15% ได้ หรือมาตรา 301 ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบประเทศคู่ค้านาน และอาจทำให้ต้องเลือกพุ่งเป้าไปที่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐก่อน
“เงินบาทอาจอ่อนค่าได้ไม่มากนักแม้ไทยจะถูกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม โดยให้จับตาช่วงเดดไลน์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่อาจเห็นแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ โดยมองกรอบเงินบาทในระยะสั้น 1-2 เดือนนี้ แตะระดับ 32.30-33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้ จะมาอยู่ที่ 1.25% สิ้นปี 68 ส่วนในรอบการประชุมเดือน มิ.ย. จะคงดอกเบี้ยไว้ โดยช่วงปลายปีไทยเสี่ยงถูกลดเครดิตเรตติ้ง”