03-10
‘สุรพงษ์’ชี้ยังไม่ได้ยินรัฐออกรถเก่าแลกใหม่เร็วๆนี้ หวั่นทำสับสนคนชะลอซื้อ ยิ่งซ้ำเติมวิกฤติ
2025-02-28
IDOPRESS
อุตฯ ชี้รัฐยังไม่เคยคุยออกรถเก่าแลกใหม่เร็วๆ นี้ เชื่อเป็นข้อเสนอค่ายรถ หวั่นถ้าไม่ออกจริง ทำตลาดป่วนแน่ คนชะลอซื้อ ยิ่งซ้ำเติมวิกฤติยอดขายร่วง ชี้ปัญหาใหญ่อยู่ที่แบงก์เข้มไม่ปล่อยกู้รถมากกว่า จี้รัฐเร่งเคาะมาตรการให้ บสย. ค้ำภายใน 2 เดือน หรือตั้งกองทุนชดเชยขาดทุนรถกระบะ เชื่อต่อยอด ปั๊มกำลังซื้อได้หลายส่วน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มฯ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีมีกระแสข่าวรัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการหารือเบื้องต้นกับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออกโครงการรถเก่าแลกซื้อรถใหม่และกำจัดซากรถ เพื่อช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเผชิญวิกฤติครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษว่า ได้สอบถามในกลุ่มอุตฯยานยนต์ทั้งหมดว่า ทางรัฐบาลได้หารือร่วมกับกลุ่มไหนถึงนโยบายนี้หรือไม่ เบื้องต้นระบุว่า ยังไม่ใครหารือในนามกลุ่มอุตฯ ยานยนต์ คาดว่า เป็นเพียงข้อสรุปของค่ายรถบางค่ายเท่านั้น ที่เสนอไปยังรัฐบาล ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่เคยพูดถึงกันมาหลายปีแล้ว เพื่อลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีความชัดเจนออกมา ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเร็วๆ นี้ไม่มีการออกมาตรการมาจริงๆ จะยิ่งส่งผลกระทบต่ออุตฯ ยานยนต์ ที่กำลังวิกฤติอยู่แล้ว จะยิ่งวิกฤติเข้าไปอีก เนื่องจากผู้บริโภคจะชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ เพื่อรอมาตรการ ยิ่งทำให้รถขายยากเข้าไปอีก
“มองว่า หัวใจหลักปัญหาอยู่ที่การไม่ปล่อยสินเชื่อรถมากกว่า ขอให้รัฐเร่งออกมาตรการให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อรถกระบะ เพื่อกระตุ้นยอดซื้อรถใหม่ ให้เร็วขึ้นจากเดิมระบุว่า 4 เดือน มองว่า ช้าเกินไป ขอเป็นภายใน 2 เดือน เพราะการผลิตรถกระบะ ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก หากแรงงานมีรายได้ก็จะไปจับจ่ายใช้สอย มีกำลังซื้อ และอุตฯ ยานยนต์มีซัพพายเชนที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก จะได้รับอานิสงส์ทั้งหมด
นอกจากนี้อยากให้เร่งพิจารณามาตรการที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาอุตสาหกรรมยานยนต์ตกต่ำไปช่วงปลายปี 67 ที่ขอให้จัดตั้งกองทุนชดเชยการขาดทุนจากรถกระบะที่ถูกยึดวงเงิน 5,000 ล้านบาท หรือเท่าไรก็ได้ ช่วยกระตุ้นยอดขายรถกระบะขึ้นมาก หากมียอดขายรถกระบะเพิ่มขึ้น 100,000 คัน หรือมูลค่า 60,000 ล้านบาท รัฐบาลจะมีรายได้จากการเก็บภาษีสรรพสามิต 1,800 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 4,200 ล้านบาท สูงกว่างบที่นำมาจัดตั้งกองทุนฯ และยังมีรายได้จากส่วนอื่นๆ หากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวเติบโตได้ดี”
“การตั้งกองทุนฯ ถือเป็นเรื่องวินๆ ที่เราเลือกรถกระบะ เพราะรถกระบะ ใช้ชิ้นส่วนจากในประเทศสูงถึง 90% และเป็นเครื่องมือทำมาหากินของประชาชน เพราะฉะนั้นการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ จะเพิ่มขึ้นอีกเยอะ และการชดเชยผลจากการขาดทุนจากรถถูกยึดให้ไฟแนนซ์ เป็นการชดเชยตามจริง แต่ไม่เกินคันละ 50,000 บาท เชื่อว่า จะทำให้กระตุ้นยอดขายได้ เพราะตอนนี้ไฟแนนซ์ไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะกลัวยึดรถแล้วขายขาดทุน ถ้ากระตุ้นยอดขายรถกระบะปีหน้าเพิ่มอีก 100,00 คัน มีส่วนช่วยให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ 2.8% เป็น 3.1-3.2%”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการรถเก่าแลกรถใหม่ ถูกพูดถึงในช่วงปี 63 ซึ่งรัฐบาลจัดทำขึ้นมาเพื่อต้องการกระตุ้นการซื้อรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ และเป็นรถยนต์ที่เป็นรถไฟฟ้า หรืออีวี เพื่อช่วยลดปริมาณมลพิษทางอากาศ และพีเอ็ม 2.5 ด้วยมีเงื่อนไข เช่น รถเก่าแลกรถใหม่ รถอายุ 12 ปีขึ้นไป มาแลกซื้อรถใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อีโคคาร์ ครอบคลุมรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม หรือเอชอีวี รถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมแบบเสียบปลั๊ก หรือพีเอชอีวี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ หรือบีอีวี โดยจะจูงใจด้วยการเพิ่มมูลค่าให้รถเก่า 100,000 คัน คันละไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อรถใหม่ โดยมูลค่าที่เพิ่ม เกิดจากการนำค่าใช้จ่ายในการซื้อรถใหม่ไปหักภาษีเงินได้ รวมไม่เกิน 100,000 บาทต่อคัน
ทั้งนี้กระแสข่าวช่วงนั้นได้สร้างความสับสนให้แก่ทั้งผู้ประกอบการ และประชาชนที่ต้องการซื้อรถในช่วงนี้ จนสุดท้ายนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในขณะนั้น ได้ออกมาระบุว่า ให้พับโครงการไปเลย เนื่องจากยังไม่มีความพร้อม และยังไม่มีความชัดเจนหลายอย่าง เพื่อไม่ให้สร้างความสับสนให้กับประชาชนและไม่กระทบตลาด