12-25
5 เหตุผล ซื้อประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี สูงสุด 100,000 บาท
2024-11-29 HaiPress
5 เหตุผล เลือกซื้อประกันสะสมทรัพย์ เพื่อไว้ลดหย่อนภาษี เลือกซื้อแบบไหน มีเงื่อนไขรายละเอียดเรื่องภาษีอย่างไร
ใกล้ถึงช่วงปลายปีกันแล้ว หลายคนกำลังมองหาวิธีลดหย่อนภาษีผ่านการซื้อประกัน หนึ่งในตัวเลือกคือ ประกันแบบสะสมทรัพย์ ที่มีให้เลือกแบบลดหย่อนภาษีได้ด้วย พร้อมทั้งข้อดีอีกมากมาย
5 เหตุผลควรซื้อประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี
1.เบี้ยประกันภัยนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ : สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณเป็นผู้ที่มีเงินได้ในระหว่างปีที่ผ่านมาคือ “การเสียภาษี” และเมื่อครบ 1 ปีภาษี คนที่มีเงินได้ มีหน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ โดยเงินได้สุทธิสามารถหาได้จากการนำรายได้ทั้งหมดมารวมกัน พร้อมหาค่าลดหย่อนต่าง ๆ (เช่น ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อน) และนำมาหักออกจากรายได้ทั้งหมด เหลือเท่าไรคือเงินได้สุทธิที่จะนำไปคำนวณภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับตัวช่วยลดหย่อนภาษี ก็คือประกันสะสมทรัพย์นี่เอง โดยเบี้ยประกันภัยสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท/ ปี ตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด
2.ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน : ประกันสะสมทรัพย์เป็นประกันชีวิตรูปแบบการสร้างเงินออมที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยแต่ละแบบประกันจะมีแผนความคุ้มครองและรูปแบบผลประโยชน์เงินคืนที่กำหนดเอาไว้ ทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน ไม่ผันผวนทางเศรษฐกิจ ช่วยให้สามารถวางแผนทางการเงินในอนาคตได้อย่างแม่นยำ รวมถึงผลประโยชน์ตอบแทนรวมเมื่อครบสัญญา จะได้รับมากกว่าเบี้ยประกันภัยที่ชำระไป ซึ่งเป็นผลประโยชน์เงินคืนที่แบบประกันการันตีว่าคุณได้รับแน่นอน ช่วยสร้างเงินออมของคุณให้งอกเงยได้
3.วางแผนทางการเงินในระยะยาวได้ : ประกันสะสมทรัพย์แต่ละแผน จะมีรูปแบบในการชำระเบี้ยรายเดือน/ รายปี ในระยะเวลาแตกต่างกันออกไป เช่น 1 ปี จ่ายครั้งเดียวจบ จ่ายเบี้ยฯสั้น 2 ปี หรือ 5 ปี โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับผลประโยชน์เงินคืนในรูปแบบที่แตกต่างออกไปตามแต่ละแผนเช่นกัน เช่น ได้รับเงินคืนทุกปีตลอดระยะเวลาสัญญา ได้รับเงินคืนก้อนใหญ่เมื่อถึงปีกรมธรรม์ที่ 7 หรือได้เงินก้อนคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา ซึ่งรูปแบนี้ เป็นอีกหนึ่งในข้อดีของการทำประกันสะสมทรัพย์ ที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะนำเงินออกมาใช้ก่อนถึงครบกำหนด และได้รับเงินคืนในแต่ละปีตามเงื่อนไขกรมธรรม์ เรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยสร้างวินัยการออมเงินที่ดี ให้คุณวางแผนทางการเงินในอนาคตได้
4.ได้รับความคุ้มครองชีวิต : ช่วยให้คุณเตรียมพร้อมกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น กรณีเสียชีวิต จะได้รับเงินก้อนคืนตามทุนประกันชีวิต โดยมอบให้ผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งผู้เอาประกันภัยสามารถระบุได้ว่าจะมอบให้กับใครในครอบครัว ที่มีความสัมพันธ์เป็น บิดา / มารดา / บุตร / สามี / ภรรยา / พี่ / น้อง รวมถึงสามารถกำหนดสัดส่วน % ของผลประโยชน์เงินคืนนี้ได้อีกด้วย ว่าจะมอบให้ใครในสัดส่วนเท่าไหร่
ทั้งนี้สามารถทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ได้ทั้งในมุมของคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ทำเพื่อเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น หรือในมุมของพ่อแม่สูงวัย ที่ต้องการช่วยสร้างความมั่นคง และอยากลดภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่ตนเองเสียชีวิตให้กับลูก หลานที่ยังอยู่ได้อีกด้วย เนื่องจากประกันสะสมทรัพย์บางแผน อายุรับประกันภัยสูงถึงอายุ 80 ปี
5.ผลประโยชน์เงินคืนได้จากประกันสะสมทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษี : ข้อนี้เป็นอีกหนึ่งข้อดีที่น่าสนใจมาก ๆ ของการทำประกันสะสมทรัพย์ เนื่องจากผลประโยชน์เงินคืนที่ได้รับ คุณจะได้รับไปเต็มจำนวน ต่างจากผลประโยชน์เงินคืนจากการสร้างเงินออมรูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนกับกองทุนรวม หรือแม้แต่การฝากเงินกับธนาคาร โดยดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากธนาคาร ก็จะต้องเสียภาษีอีกด้วย
เงื่อนไขลดหย่อนภาษี ประกันสะสมทรัพย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประกันชีวิต รายละเอียดดังนี้
สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปี ตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนดหากมีประกันชีวิตของคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาทต้องเป็นประกันชีวิตโดยบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยเท่านั้นกรมธรรม์ประกันชีวิตต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไปกรณีที่ประกันมีการจ่ายเงินคืนทุกปี จำนวนเงินต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยรายปี หรือหากเป็นการจ่ายเงินคืนตามช่วงเวลา จำนวนเงินต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสมของแต่ละช่วงเวลาหากมีการเลิกสัญญา หรือเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะไม่สามารถใช้สิทธิประกันลดหย่อนภาษีของกรมธรรม์ฉบับนั้นได้อีก พร้อมคืนภาษีย้อนหลังทั้งหมดที่ได้รับการลดหย่อนไป บวกกับดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนของยอดภาษีที่ต้องจ่าย
วิธีเลือกประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี
1.เลือกประกันสะสมทรัพย์ตามเป้าหมายทางการเงิน : ปัจจุบันมีประกันสะสมทรัพย์หลากหลายรูปแบบให้เลือก เช่น ต้องการสร้างเงินก้อนในเพื่อใช้ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ก็เลือกประกันสะสมททรัพย์ที่มอบความคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป โดยได้รับผลเงินก้อนคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา หรือ ต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อนำไปใช้จ่าย หรือวางแผนในการลงทุนต่อยอดธุรกิจ ในระยะเวลาที่เร็วกว่า 10 ปี ก็แนะนำให้มองหาแบบประกันที่มอบเงินคืนก้อนใหญ่ในช่วงระหว่างระยะเวลาสัญญา และได้รับคืนอีกก้อนเมื่อครบกำหนดสัญญา ซึ่งการวางแผนเผ้สหมายทางการเงินแบบนี้ จะช่วยให้คุณมองหาแบบประกันที่เหมาะสมได้ง่ายยิ่งขึ้น
2.เลือกประกันสะสมทรัพย์จากความสามารถในการจ่ายเบี้ยฯ : ประเมินความสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้ตามเงื่อนไขหรือไม่ แบบประกันนั้น ๆ รับชำระเบี้ยฯ เป็นรายเดือนหรือรายปี และต้องชำระเบี้ยประกันภัยเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ เพื่อวางแผนจ่ายเบี้ยประกันได้อย่างต่อเนื่อง เพราะหากหยุดชำระในระหว่างสัญญาก็จะทำให้เสียประโยชน์ในการรับผลตอบแทน และสิทธิลดหย่อนภาษีไปด้วย
3.ศึกษารายละเอียดก่อนทำประกันทุกครั้ง : ดูข้อมูลให้ครบถ้วนรอบด้าน ทั้งความคุ้มครองชีวิต ผลประโยชน์เงินคืน เงื่อนไขและระยะเวลาความคุ้มครอง รวมไปถึงข้อยกเว้นของประกันแต่ละประเภทอย่างละเอียด
ที่มา : กรุงเทพประกันชีวิต