12-25
‘เฟตต้า’ วอนรัฐออกกฎหมายเอื้อเอกชน ยืดค่าเหยียบแผ่นดินไปก่อน
2024-09-17 HaiPress
‘เฟตต้า’ เตรียมยื่นสมุดปกขาว รมว.ท่องเที่ยวฯ วอนรัฐออกกฎหมายเอื้อเอกชน ขอเลื่อนเก็บค่าเหยียบแผ่นดินออกไปก่อน ชี้ไทยยังต้องการนทท.
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) เปิดเผยว่า เตรียมเสนอรัฐบาลให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว โดยให้นายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธานการท่องเที่ยวและทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะการท่องเที่ยวมีความเกี่ยวโยงกับหลายภาคส่วน อาทิ ความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกของนักท่องเที่ยวที่ความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยและตำรวจ เป็นต้น รวมถึงสานต่อนโยบายเดิมที่รัฐบาลชุดก่อนทำไว้เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงาน โดยเฉพาะนโยบายส่งเสริมเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) อยากให้รัฐบาลสั่งการตรงผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเพราะผู้ว่าฯ เป็นคนในพื้นที่จะมีความรู้ความเข้าใจพื้นที่ รู้ว่าจังหวัดมีความพร้อมหรือขาดอะไร ควรพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ห้องน้ำ หรือระบบอำนวยความสะดวกอย่างไร
“เร่งยกระดับการท่องเที่ยว ทั้งความแหล่งท่องเที่ยว ความปลอดภัย และบุคลากร เพื่อแข่งขันกับต่างชาติ เพราะการท่องเที่ยวเราต้องแข่งกับหลายประเทศ เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นหัวใจหลัก ในการดึงรายได้เข้าประเทศ ส่วนนโยบายส่งเสริมเมืองน่าเที่ยวอยากให้มุ่งไปที่เมืองที่มีความพร้อมทั้งสนามบิน แหล่งท่องเที่ยว โรงแรมก่อน แล้วกระจายไปเมืองรอบๆ ไม่ใช่ส่งเสริมพร้อมกันทั้ง 55 จังหวัด เพราะในการทำงานมันไม่สามารถทำได้พร้อมกัน” นายศิษฎิวัชร กล่าว
ขณะที่มาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยวภายในประเทศของนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือค่าเหยียบแผ่นดินให้ชะลอไปก่อน เนื่องจากช่วงนี้นักท่องเที่ยวกำลังฟื้นกลับมา ประกอบกับไทยยังต้องพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว เพราะจะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความไม่สะดวกใจในการเดินทางเข้าไทยและเปลี่ยนไปท่องเที่ยวเที่ยวประเทศอื่น การจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน300บาท มองว่าไม่คุ้มกับรายได้ที่เราจะได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวเฉลี่ย40,000 – 50,000บาทต่อคนต่อทริปที่จะเข้ามาใช้จ่ายในประเทศ ส่วนในอนาคตหากมีนักท่องเที่ยวถึง70 – 80ล้านคน ค่อยเริ่มเก็บค่าเหยียบแผ่นดินดีกว่า เพื่อที่จะชะลอการเดินทางของนักท่องเที่ยวไม่ให้ความสามารถในการรองรับของประเทศ
นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า ในฐานะกรรมการสมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทยหรือเฟตต้า อยากให้รัฐบาลพิจารณากรรมหมายที่ไม่เอื้อต่อการทำงานของภาคเอกชน มีข้อจำกัดที่มากเกินไปจนไม่สามารถขยับได้ เช่น การบังคับใช้ระบบใบสั่งงานมัคคุเทศก์ออนไลน์ ที่จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 โดยบริษัทนำเที่ยวต้องจัดทำใบสั่งงานมัคคุเทศก์ ผ่านแพลตฟอร์ม Thailand Smart Tour (TST) และยกเลิกการออกใบสั่งงานมัคคุเทศก์แบบกระดาษโดยสิ้นเชิง หากมัคคุเทศก์ถูกตรวจสอบ จะต้องแสดงใบสั่งงานมัคคุเทศก์ผ่านแอพพลิชั่น Application TST นี้เท่านั้น ซึ่งจากการทดลองใช้งานพบว่ามีความยุ่งยากจึงอยากให้เลื่อนวันประกาศใช้ออกไปก่อน
รวมถึงพิจารณาจัดตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาแก้ไข ระเบียบ เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดให้มีการส่งใบสั่งงานมัคคุเทศก์ (Job Order) เนื่องจากใบสั่งงานมัคคุเทศก์ไม่สามารถป้องกันไกด์เถื่อนต่างชาติได้จริง รวมถึงเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของมัคคุเทศก์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ต้องได้รับโทษทางอาญาเป็นจำนวนมากอีกด้วย เพราะมัคคุเทศก์ที่ทำงานกับบริษัททัวร์มีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว และปัจจุบันพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวก็เปลี่ยนไปจากเดิมที่นักท่องเที่ยวกลุ่มทัวร์คิดเป็นสัดส่วน 70% และที่เหลืออีก 30% เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเองหรือเอฟไอที แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวกลุ่มทัวร์คิดเป็นสัดส่วนเหลือเพียง 30% และอีก 70% เป็นเอฟไอที ดังนั้นการตรวจสอบมัคคุเทศก์จึงไม่น่าจะยากและควรอกแบบระบบที่ดีกว่านี้ นอกจากนี้เฟตต้ายังเตรียมสมุดปกขาวเพื่อเสนอให้รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวพิจารณาต่อไป