จีเอ็มเอ็มมิวสิคปิดดีลวอร์นเนอร์ฯ ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่สหรัฐ ร่วมลงทุนตั้งค่ายเพลงใหม่

2024-08-20     HaiPress

จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ลุยต่อปิดดีลวอร์นเนอร์ มิวสิค ยักษ์ใหญ่สหรัฐ ตั้งเป้าโตอีกเท่าตัวปี 73 พร้อมร่วมลงทุนตั้งค่ายเพลงใหม่ เพิ่มกำลังการผลิต ยกระดับคุณภาพอุตสาหกรรมเพลงไทยให้สร้างมูลค่าตลาดที่สูงขึ้น

นายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีเอ็มเอ็ม มิวสิค เปิดเผยว่า ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จีเอ็มเอ็ม มิวสิค ได้ประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ล่าสุดได้การตอบรับจากพันธมิตรยักษ์ใหญ่รายที่ 4 ในการเข้ามาร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์อย่างวอร์นเนอร์ มิวสิค เอเชีย หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเพลงของโลกจากสหรัฐอเมริกา เป็นการตอกย้ำความสนใจที่มีต่ออุตสาหกรรมเพลงไทยในฐานะประเทศที่มีตลาดเพลงที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  

ทั้งนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสะท้อนการปลดล็อกมูลค่าบริษัทของจีเอ็มเอ็ม มิวสิค ที่มูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านบาท และช่วยยกระดับวงการเพลงไทยในแง่ของการยกระดับคุณภาพการผลิต อีกทั้งขยายตลาดสู่ระดับสากล ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกได้เติบโตรวมมากกว่า 100% ตลอดระยะเวลา 8 ปีนับจากปี 2558-2566 ซึ่งเป็นการเติบโตที่ทำรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีการคาดการณ์ว่าต่อจากนี้อีก 6 ปี อุตสาหกรรมเพลงจะเติบโตเพิ่มกว่า 100% อีกครั้งภายในปี 2573 โดยปีที่ผ่านมาตลาดเพลงในภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโต 15% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตในตลาดโลกซึ่งมีการเติบโตที่ 10% ซึ่งการเข้ามาร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์ของวอร์นเนอร์ครั้งนี้ จะยิ่งส่งผลบวกให้การสร้างรายได้ที่เติบโตของ Music IP ของจีเอ็มเอ็ม มิวสิค ในธุรกิจดิจิทัล บิสสิเนส อย่างมีนัยสำคัญ

นายฟ้าใหม่ ดํารงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด จีเอ็มเอ็ม มิวสิค กล่าวว่า การเข้ามาร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์ดังกล่าวคือการตอกย้ำความมั่นใจในอุตสาหกรรมเพลงไทยที่ทะยานสู่ช่วงขาขึ้น สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเพลงของโลก โดยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของวอร์นเนอร์ฯ ในบริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค กำหนดข้อตกลงที่จะมุ่งเน้นการขยายตลาดเพลงไทยสู่ตลาดโลก เพื่อต่อยอดมูลค่าของ Music IP Assets ของไทย โดยอาศัยศักยภาพของวอร์นเนอร์ฯ ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมดนตรีระดับโลก ขยายการรับรู้ของเพลงไทยและศิลปินไทยสู่ฐานผู้ฟังที่ใหญ่ขึ้นทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์ม Digital Streaming อย่าง Spotify และ Apple Music มียอดการใช้งานเติบโตมากที่สุด โดยเติบโตสูงถึง 86% และ 54% ตามลำดับในปีที่ผ่านมา

นอกจากการลงทุนในเชิงกลยุทธ์นี้ ทั้งสองบริษัทยังจะลงทุนร่วมแบบลงทุนร่วม (Joint-Venture Operation) ในการจัดตั้งค่ายเพลงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตร่วมกัน ซึ่งจะมีการพัฒนาศิลปินและเพลงใหม่ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น แลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ และการเข้าถึงทรัพยากรด้านการผลิตระดับแนวหน้าของโลก เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลงานและตลาดเพลงไทย อีกทั้งวอร์นเนอร์ฯ ยังตกลงจ่าย Minimum Guarantee ที่ 315 ล้านบาท ต่อยอดมูลค่าของ Music IP Assets ให้ GMM Music เพื่อสร้างการเจริญเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีข้างหน้า

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา